วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตราสัญลักษณ์ เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อพระราชพิธีว่า "พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" และชื่อการจัดงานว่า "งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" 
          ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ภาพตราสัญลักษณ์ ผลงานของ นายศิริ หนูแดง ใช้เป็นตราสัญลักษณ์งาน     
          สำหรับความหมายตราสัญลักษณ์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ  5   ธันวาคม  2554  อักษรพระปรมาภิไธยภ.ป.ร. สีเหลืองทอง อันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ อยู่กลางตราสัญลักษณ์ ขลิบรอบตัวอักษรด้วยสีทอง บนพื้นวงกลมสีน้ำเงิน ล้อมรอบด้วยกรอบโค้งเรียบสีเหลืองทอง หมายความว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ด้านบนอักษรพระปรมาภิไธยเป็นเลข  9 หมายถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เลข 9 นั้น  อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช  ถัดลงมาด้านข้างซ้ายขวาของอักษรพระปรมาภิไธย มีลายพุ่มข้าวบิณฑ์สีทอง ซึ่งมีสัปตปฎลเศวตฉัตรประดิษฐานอยู่เบื้องบน  ด้านนอกสุดเป็นกรอบโค้งมีลวดลายสีทองบนพื้นสีเขียว หมายถึง สีอันเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ  อีกทั้งยังหมายถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ และความสงบร่มเย็น  ด้านล่างอักษรพระปรมาภิไธยเป็นรูปกระต่ายสีขาว กระต่ายนั้นทรงเครื่องอยู่ในลักษณะกำลังก้าวย่าง อันหมายถึงปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ ตรงกับปีเถาะ ซึ่งมีกระต่ายเป็นเครื่องหมายแห่งปีนักษัตร  รูปกระต่ายอยู่บนพื้นสีน้ำเงิน มีลายกระหนกสีทอง อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร  เบื้องล่างตราสัญลักษณ์เป็นแพรแถบสีชมพูขลิบทอง เขียนอักษรสีทอง ความว่า พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
 
  คัดลอกจาก..
โดย..กรมประชาสัมพันธ์

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

3 สิ่งในชีวิต..

3 สิ่งในชีวิตที่เราเรียกร้องคืนกลับมาไม่ได้

3 สิ่งในชีวิตที่เราเรียกร้องคืนกลับมาไม่ได้
โดย นายบัญชา ราชวงค์  (โครงการมหาวิทยาลัยชีวิต)
ขอขอบคุณรูปภาพและเนื้อหาประกอบ : ขอขอบคุณ fw-mail ที่เผยแพร่สิ่งดีงามเหลานี้ ให้คนมีสติเพิ่มขึ้น..

ห้องที่ชื่อว่า "ใจ"

ห้องที่ชื่อว่า "ใจ"

ใจ ของเรานั้นไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น
สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที
เป็นต้นว่าเรามีห้องว่างเปล่าอยู่ห้องหนึ่ง
เมื่อ - -


เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

7 ขวบต้องทำบัตรประชาชน

 7 ขวบต้องทำบัตรประชาชน
พระราชบัญญัติ บัตรประจำตัวประชาชน  (ฉบับที่  ๓) พ.ศ.  ๒๕๕๔ (ประกาศ 11 พฤษภาคม 2554) ที่จะบังคับใช้เร็วๆนี้ นั้น ผู้มีสัญชาติไทย อายุ 7บริบูรณ์แต่ไม่เกิน70 ปีบริบูรณ์ ต้องมีบัตรประชาชน ซึ่ง
เหตุผลในการประกาศใชพระราชบัญญัติฉบับนี  คือ  โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้ผู้มีสัญชาติไทยทุกคนต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนไว้ใช้แสดงตนเพื่อประโยชน์ในการเข้ารับบริการสาธารณะของรัฐ   จึงได้ปรับปรูงหลักเกณฑ์และวิธีการการออกบัตรประจำตัวประชาชน  เพื่อให้สอดคลองกับการที่รัฐจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการประชาชนในด้านต่าง ๆ  ผ่านทางบัตรประจำตัวประชาชน  เพื่อประโยชน์ของ ผู้ถือบัตรประจำตัวประชาชน  สมควรแก้ไขเพิ่มเตมกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อให้สอดคลองกับหลักการดังกล่าวและสภาวการณ์ปัจจุบัน  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี ...

อ่าน พระราชบัญญัติ บัตรประจำตัวประชาชน  (ฉบับที่  ๓) พ.ศ.  ๒๕๕๔  ที่นี่

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มีทำไม



อ่านแล้วคิด ชีวิตจะมีความสุข.... 

ขอกราบขอบพระคุณ ท่าน ว.วชิรเมธี

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่อ่าน

ขอบคุณทุกท่านที่นำไปเผยแพร่
ขอบคุณครับ 

สิ่งธรรมดาคือสิ่งพิเศษ...

  
ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ"ขอบคุณสรรพสิ่ง"




ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ 

แต่ปาฏิหาริย์  คือ การเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว'
ชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง 'ธรรมดา' 
เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน 
กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ 
ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ 
ใส่ชุดธรรมดาๆ...หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ... 
เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น 
แต่ถ้าความธรรมดานี้หมดไปล่ะ? 

เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว 
หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ...
เรื่องก็จะ 'ไม่ธรรมดา' ไปในทันที 


และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมา คิดเสียดายความ 'ธรรมดา' จนใจแทบจะขาด... 
ให้เรารีบชื่นชมกับความ 'ธรรมดา' ที่เรามี 
และใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล 
เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว

อ่านต่อ..

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จงทำชีวิตให้เหมือนแบงค์ 1000

(อ่านFW-mail เรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดดีมากๆ เลยนำมาแบ่งกันอ่านครับ...ขอขอบคุณเจ้าของ FW-mail อย่างสูงครับ)

จงทำชีวิตให้เหมือนแบงค์ 1000


นักพูด..ที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่ง.. ได้เริ่มหยุดการสัมมนาของเขา..
โดยการหยิบแบงค์ 1,000 ขึ้นมา
ในห้องที่มีผู้เข้าฟัง..ร่วม 200 ท่าน
แล้วเขาก็พูดว่า..
"ใครอยากได้แบงค์ 1,000 นี้บ้าง?"

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรให้หายโกรธ

ทำอย่างไรจะหายโกรธ[1]
พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต)[2]
  ทำอย่างไรจะหายโกรธ

พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งเมตตาการุณย์ พระพุทธเจ้ามีพระคุณข้อใหญ่ประการหนึ่ง คือ พระมหากรุณา ชาวพุทธทุกคนได้รับการสั่งสอนให้มีเมตตากรุณา ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยกายวาจา และมีน้ำใจปรารถนาดี แม้แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรอื่น ก็ให้แผ่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งปวง ขอให้อยู่เป็นสุขปราศจากเวรภัยกันโดยทั่วหน้า
อย่างไรก็ตาม เมตตา มีคู่ปรับสำคัญอย่างหนึ่งคือ ความโกรธ ความโกรธเป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้น คนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วต้องทำอะไรรุนแรงออกไป ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรไม่ได้ ก็หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจตัวเอง ในเวลานั้นเมตตาหลบหายไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ส่วนความโกรธ ทั้งที่ไม่ต้องการไม่ยอมหนีไป บางทีจนปัญญา ไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไร
โบราณท่านรู้ใจและเห็นใจคนขี้โกรธ จึงพยายามช่วยเหลือโดยสอนวิธีการต่างๆ สำหรับระงับความโกรธ วิธีการเหล่านี้มีประโยชน์ไม่เฉพาะสำหรับคนมักโกรธเท่านั้น แต่เป็นคติแก่ทุกคน ช่วยให้เห็นโทษของความโกรธ และมั่นในคุณของเมตตายิ่งขึ้น จึงขอนำมาเสนอพิจารณากันดู วิธีเหล่านั้นท่านสอนไว้เป็นขั้นๆ ดังนี้

ขั้นที่ ๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ
ขั้นที่ ๒  พิจารณาโทษของความโกรธ
ขั้นที่ ๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ
ขั้นที่ ๔ พิจารณาว่าความโกรธคือการสร้างทุกข์ให้กับตัวเองและเป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู
ขั้นที่ ๕ พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน
ขั้นที่ ๖  พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า
ขั้นที่ ๗ พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ
ขั้นที่ ๘ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา
ขั้นที่ ๙ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ
ขั้นที่ ๑๐ ปฏิบัติทานคือการให้หรือแบ่งปันสิ่งของ

[1] เรื่องนี้เขียนตามแนวคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ ภาค ๒ หน้า ๙๓ ๑๐๖ แต่แทรกเสริมเติมและตัดต่อเรียบเรียงใหม่ตามที่เห็นสมควร ของเดิมมี ๙ วิธี ในที่นี้ขยายออกเป็น ๑๐ วิธี และเนื้อหาเก่า ท่านมุ่งสอนพระภิกษุผู้บำเพ็ญเมตตากรรมฐาน ในที่นี้เขียนปรับความให้เหมาะแก่คนทั่วไป
[2] นามเดิม ประยุทธ์ นามสกุล อารยางค์กูร เกิดเมื่อ ๑๒ มกราคม ๒๔๘๑ ที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี บรรพชาเมื่อ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๙๔ สอบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ได้ ขณะที่เป็นสามเณร จึงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ให้อุปสมบทในฐานะนาคหลวง ร อุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๔ สบได้ปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต(เกียรตินิยมอันดับ ๑)จากมหาจุใลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อ ๒๕๐๕ และสอบได้วิชาชุดครู พ.ม. เมื่อ ๒๕๐๖ ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก ๑๐ สถาบัน ๑๑ ปริญญา ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

เนื้อหาในการอบรม

๒๕ เมษายน ๕๔
             วันนี้เราได้เนื้อหาสำหรับผู้สนใจอยากจะมี blog เป็นของตัวเอง  หลังกลับมาจากอบรมได้พยายามทบทวนสิ่งที่วิทยากรให้ความรู้และเริ่มทำ blog ของตนเอง ยิ่งทำยิ่งน่าสนใจ อยากเรียนรู้ อยากศึกษา จึงค้นหาบทความและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจาก internet และแล้วได้อ่านไปพบบทความการสร้างบล็อก และการเขียนบล็อกด้วย Blogger ของ Google ใน http://bloggerbuild.blogspot.com/  ซึ่งเผยแพร่โดย ปรีดา ลิ้มนนทกุล (ผู้ทุพพลภาพมืออาชีพ) น่าสนใจมาก สามารถที่ค้นคว้าและทำตามเป็นขั้นเป็นตอนไปได้ อย่างมืออาชีพ  สำหรับผู้ต้องการพัฒนายิ่งๆขึ้นไปอีก ก็สามารถติดตามได้ตามที่อยู่เจ้าของ blog ที่ยกมาให้ข้างต้น..
            ทั้งนี้ ขออนุญาตท่านเจ้าของ blog คัดลอก link เผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์นี้เป็นวิทยาทานต่อผู้กระหายใคร่รู้ต่อไป  กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ..
                                                   bansadao_boss ผู้บันทึก

พบปะพูดคุยกันก่อน


 เรียน ท่านที่เคารพทุกท่าน
                 blog นี้เกิดขึ้นมาได้เพราะ สพป.สร.3 มีมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อน "เบญจลักษณ์" ด้าน ICT ให้กับผู้บริหารโรงเรียนและบุคลากรในสังกัดใหัมีความรู้ ความชำนาญ ในด้าน ICT ซึ่งในการประชุมอบรมครั้งนี้ เราหวังว่า ในอนาคตเราจะมีเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่สะดวกและเป็นเวทีสำคัญในการแสดงความคิดอ่าน แสดงคิดเห็น มาแบ่งปันซึ่งกันและกัน
                ต้องขอขอบคุณทีมงานวิทยากรทุกท่าน ที่มุ่งมั่น ทุ่มเท สร้างสรรค์ พัฒนาเพื่อจะให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลต่อทางราชการและต่อผู้เข้ารับการอบรม ขอให้มีแรงใจแรงกายที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งๆขึ้นไป..
                                                                                                                                                                               
                                                                            ด้วยจิตคารวะ
                                                                           bansadao_boss
                                                               ผอ.รร.บ้านสะเดา สพป.สุรินทร์ เขต3
แนะนำbansadao_boss..